อนุสาวรีย์ปราศจากโรคมาลาเรียยาเอยามะ
อนุสาวรีย์ปราศจากโรคมาลาเรียยาเอยามะ
ยาเอยามะและโรคมาลาเรีย
ตามทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าโรคมาลาเรียเกิดขึ้นที่ยาเอยามะโดยเรือดัตช์ที่ลอยขึ้นฝั่งบนเกาะอิริโอโมเตะในปีค.ศ. 1530 ตั้งแต่นั้นมาจนถึงศตวรรษที่ 20 โรคมาลาเรียในยาเอยามะได้เป็นโรคประจำถิ่นโดยไม่ทราบสาเหตุ ในปีค.ศ. 1921 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการแห่งแรกที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านการควบคุมโรคมาลาเรียซึ่งเป็นสำนักงานป้องโรคกันมาลาเรียสาขาภูมิภาคยาเอยามะของรัฐบาลริวกิว ถึงแม้ว่าจะมีการจัดตั้งองกรค์แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการควบคุมและป้องกันโรคมาลาเรียที่ต่อเนื่องทำให้จำนวนผู้ป่วยไม่ลดลง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยาเอยามะก็ได้เข้าไปพัวพันกับยุทธการโอกินาวา
มาลาเรียในยุคสงคราม
ถึงแม้ในช่วงยุทธการโอกินาวาที่ยาเอยามะจะไม่มีการต่อสู้ภาคพื้นดิน แต่ก็มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงทำให้มีการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่เรียกว่า "มาลาเรียในช่วงสงคราม" เนื่องจากความขาดแคลนทางอาหารและยาส่งผลให้ประชากรจำนวน 16,884 คนติดเชื้อมาลาเรียซึ่งนับเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นในจำนวนผู้ติดเชื้อ 16,884 คน ได้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3,647 คน ในทางกลับกันมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากสนามรบ 178 คน ดร. โคเซ็น โยชิโนะ นักปรสิตวิทยาจากยาเอยามะ พร้อมด้วย นาย นาโอกิ คุโรชิมะ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รวบรวมรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยมาลาเรียในช่วงสงคราม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้สู่มาตรการควบคุมโรคและป้องกันโรคมาลาเรียหลังสงคราม หลังสิ้นสุดสงคราม ดร. โคเซ็น โยชิโนะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานสาขายาเอยามะ (ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในภายหลัง) และ ดร. ชินเคน โอฮามะ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมาลาเรียจากยาเอยามะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสาธารณสุขซึ่งเป็นผู้ที่ร่างกฎระเบียบข้อบังคับควบคุมและป้องกันโรคมาลาเรีย โดยมีการบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดและมีค่าปรับสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม เนื่องด้วยความพยายามร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนทำให้ในปี ค.ศ. 1949 จำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียลดลงเหลือ 17 รายและมีจำนวนยอดผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในขณะนั้นก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะปราศจากผู้ป่วยโรคมาลาเรียได้
มาลาเรียของผู้อพยพและแผนวีลเลอร์
ในปี ค.ศ. 1950 รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งได้ตัดงบประมาณสำหรับการควบคุมโรคมาลาเรียและผลักดันโครงการการตั้งถิ่นฐานใหม่ ด้วยเหตุนี้ผู้อพยพต่างถิ่นจำนวนมากได้เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคมาลาเรียส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวของโรคมาลาเรียในกลุ่มผู้อพยพต่างถิ่นเรียกว่า “มาลาเรียของผู้อพยพ” ในปี ค.ศ. 1957 ดร. ชาร์ลส์ เอ็ม. วีลเลอร์ นักกีฏวิทยาของสาธารณสุข GHQ ในประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาแผนเพื่อควบคุมโรคโรคมาลาเรียที่ยาเอยามะมีชื่อว่า “แผนวีลเลอร์” ตามคำขอของ USCAR (สำนักงานบริหารพลเรือนแห่งสหรัฐอเมริกาในหมู่เกาะริวกิว) ซึ่งได้มีการจัดสรรงบประมาณพิเศษสำหรับแผนงานโดยมุ่งเน้นการพ่นสารกำจัดแมลงDDTที่เป็นสารออกฤทธิ์ตกค้างในบ้าน โดยได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดยุงในหลายๆประเทศ เนื่องจากการฉีดพ่นอย่างทั่วถึงของเจ้าหน้าที่ของศูนย์สาธารณสุขพร้อมกับได้รับความร่วมมือจากประชาชนผู้อยู่อาศัยเป็นผลให้ในปี ค.ศ. 1961 มีผู้ป่วยรายสุดท้ายที่เป็นโรคมาลาเรียจากอิริโอโมเตะ หลังจากนั้นยาเอยามะประสบความสำเร็จในการปราศจากโรคมาเลเรียในปี ค.ศ. 1962
หมายเหตุ: DDT เป็นสารเคมีที่มีราคาถูกและมีประสิทธิภาพสูงแต่ปัจจุบันถูกสั่งห้ามมีการใช้งานเนื่องจากเป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แผนกป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียของสาธารณสุขยาเอยามะ
ตารางแสดงจำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียเป็นศูนย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962
มาลาเรียคืออะไร?
มาลาเรียเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากปรสิตพลาสโมเดียม โรคนี้มีลักษณะคือมีไข้สูงและหนาวสั่นรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากได้รับการรักษาที่ล่าช้า การติดเชื้อจะเริ่มขึ้นเมื่อยุงก้นปล่องที่มีเชื้อพลาสโมเดียมกัดและฉีดสปอโรซอยต์ที่อยู่ในน้ำลายเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ โรคมาลาเรียเป็นหนึ่งในสามโรคติดเชื้อที่สำคัญของโลก ร่วมกับโรคเอดส์และวัณโรค ที่ยาเอยามะสามารถพบยุงก้นปล่องได้บริเวณลำธารในป่า ซึ่งยุงก้นปล่องมีพาหะของเชื้อพลาสโมเดียมฟัลซิปารัมที่เป็นเชื้อชนิดรุนแรง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีผู้ป่วยโรคมาลาเรียในยาเอยามะแล้วแต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่า 600,000 รายต่อปีทั่วโลก ซึ่งสามารถพบในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ส่วนใหญ่อยู่ในทวีฟเอเชียและแอฟริกา (ข้อมูลปี ค.ศ. 2020)
ยุงก้นปล่องยาเอยามะ
Hideo Mizuta
เซลล์เม็ดเลือดแดงที่ติดเชื้อจากพลาสโมเดียมโปรโตซัว
Shigeyuki Kano
อิโนดะและมาลาเรียของผู้อพยพ
หมู่บ้านอิโนดะเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคมาลาเรียซึ่งถือเป็นโรคประจำท้องถิ่น เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 หมู่บ้านอิโนดะได้จัดตั้งสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียสาขาอิโนดะโดยประชาชนในหมู่บ้าน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1951 ประชาชน 21 ครอบครัวแรกจากหมู่บ้านโอกิมิในโอกินาวาได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านอิโนดะภายใต้โครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ และอีกหลายครอบครัวได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านอิโนดะ โดยผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ทำปรับสถาพพื้นผิวที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและการเพาะปลูก ในเวลาต่อมาเกิดการระบาดของโรคมาลาเรียในหมู่ผู้ตั้งถิ่นฐานในตอนเหนือของเกาะอิชิงากิรวมทั้งอิโนดะ สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียสาขาอิโนดะได้ดำเนินกิจกรรมมากมาย เช่น การรักษา, มาตรการรับมือ, และเผยแพร่วิธีการป้องกันสู่สาธารณชน เวลาต่อมาได้ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินการตามแผนวีลเลอร์ในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้ในปี ค.ศ. 1962 จำนวนผู้ป่วยโรคมาลาเรียประจำปีลดลงเหลือศูนย์ เป็นผลให้ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 400 ปีในการต่อสู้กับโรคมาลาเรียได้สิ้นสุดลง
การตรวจสุขภาพเคลื่อนที่โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
Yaeyama Peace Memorial Museum collection